วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เคมี

     สารประกอบไฮโดรคาร์บอน

                สารประกอบอินทรีย์ที่มีเฉพาะธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบมีชื่อเรียกว่าสารประกอบไฮโดรคาร์บอน  เช่น     \displaystyle CH_4    \displaystyle C_2H_6   \displaystyle C_2H_4   \displaystyle C_2H_2ในธรรมชาติพบสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเกิดอยู่ในแหล่งต่างๆ เช่น ยางไม้ ถ่านหิน ปิโตรเลียม นอกจากนี้ยังพบว่ามีสารประกอบไฮโดรคาร์บอนจำนวนมากที่ได้จากการสังเคราะห์แหล่งกำเนิดของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่สำคัญที่สุด คือ ปิโตรเลียม นักเรียนจะได้ศึกษาสมบัติบางประการของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาเกี่ยวกับสารประกอบอินทรีย์ชนิดต่างๆ ต่อไป

            สมบัติบางประการของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
    จากข้อมูลในตาราง 11.5 ที่ได้ศึกษามาแล้วพบว่า สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีสูตรโมเลกุลเหมือนกันคือ\displaystyle C_4H_{10}แต่มีสูตรโครงสร้างต่างกัน จะมีจุดหลอมเหลว จุดเดือด และความหนาแน่นต่างกัน ต่อไปจะได้ศึกษาว่าสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีจำนวนอะตอมของคาร์บอนเท่ากันแต่พันธะในโมเลกุลต่างกัน จะมีสมบัติเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร โดยศึกษาจากปฏิกิริยาของเฮกเซน     \displaystyle (C_6H_{14})เฮกซีน \displaystyle (C_6H_{12})    และเบนซีน \displaystyle (C_6H_6)ซึ่งเป็นสารที่มีคาร์บอนในโมเลกุล 6 อะตอมเท่ากัน ในการทดลองต่อไปนี้

 การทดลอง 11.3  สมบัติบางประการของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
1.    หยดเฮกเซน 5 หยด และน้ำ 10 หยด ลงในหลอดทดลองขนาดเล็ก เขย่าและสังเกตการณ์
ละลาย
2.    หยดเฮกเซนลงในจานหลุมโลหะ 5 หยด จุดไฟและสังเกตการณ์ลุกไหม้
3.    หยดเฮกเซน 5 หยด ลงในหลอดทดลองขนาดเล็กแล้วหยดสารละลายโพแทสเซียมเปอร์
แมงกาเนต ลงไป 2 หยด เขย่าและสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลง
4.    ทำการทดลองเช่นเดียวกับข้อ 1-3 โดยใช้เฮกซีนแทนเฮกเซน
5.    ศึกษาสมบัติบางประการของเฮกเซน เฮกซีนและเบนซีน โดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการ
ทดลองประกอบกับข้อมูลที่กำหนดให้ในตารางท้ายการทดลอง

 
                                        

- จากผลการทดลองและข้อมูลเพิ่มเติม จงพิจารณา ว่าเฮกเซน เฮกซีน และเบนซีนมีสมบัติเหมือนกัน หรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

    การละลายของสารในตัวทำละลายเกิดจากอนุภาคของสารแทรกเข้าไปอยู่ระหว่างอนุภาคของตัวทำละลายและเกิดแรงยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกัน สารที่มีขั้วจะละลายได้ดีในตัวทำละลายมีขั้ว ส่วนสารที่ไม่มีขั้วจะละลายได้ดีในตัวทำละลายไม่มีขั้ว แต่เนื่องจากน้ำเป็นตัวทำละลายมีขั้วสารที่ละลายในน้ำได้จึงควรเป็นโมเลกุลมีขั้วจากการทดลองและข้อมูลเพิ่มเติมพบว่าทั้งเฮกเซน เฮกซีนและเบนซีนไม่ละลายในน้ำ และลอยอยู่บนชั้นของน้ำแสดงว่าสารประกอบไฮโดรคาร์บอนทั้ง 3 ชนิดเป็นโมเลกุลไม่มีขั้วและมีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ
    การเผาไหม้ของสารเกิดจากสารเหล่านั้นทำปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจน สำหรับการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน จะได้ผลิตภัณฑ์เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ดังนั้นการเผาไหม้เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ดังนั้นการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์ของเฮกเซน
 \displaystyle (C_6 H_{14}) เฮกซีน \displaystyle (C_6H_{12})    และเบนซีน \displaystyle (C_6H_6   )  จึงเขียนสมการแสดงได้ดังนี้
                            

                          \displaystyle 2C_6H_{14}+19O_2 \to 12CO_2+14H_2O + \displaystyle 14C_2O
                                              \displaystyle C_6H_{12}+9O_2 \to 6CO_2+6H_2O

                                        \displaystyle 2C_6H_6+15O_2 \to 12CO_2+6H_2O 
 


                จากผลการทดลองและข้อมูลเพิ่มเติมพบว่าเบนซีนเผาไหม้แล้วได้เขม่ามาก เฮกซีนมีเขม่าเกิดขึ้นเล็กน้อย ส่วนเฮกเซนไม่มีเขม่า ทั้งที่เผาในสภาวะเดียวกันซึ่งมีปริมาณออกซิเจนที่อยู่ในอากาศเท่ากัน แสดงว่าปริมาณของออกซิเจนน่าจะไม่ใช่ปัจจัยประการเดียวที่มีผลต่อการเผาไหม้ของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
    การที่สารประกอบไฮโดรคาร์บอนเผาไหม้แล้วเกิดเขม่า เป็นเพราะเกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งอาจเกิดจากการที่มีปริมาณของออกซิเจนไม่เพียงพอหรือมีพลังงานที่ใช้เผาไหม้ไม่เพียงพอ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีพันธะระหว่างอะตอมของคาร์บอนในโมเลกุลเป็นพันธะคู่หรือพันธะสาม จะต้องใช้พลังงานปริมาณมากเพื่อสลายพันธะเดิมก่อนสร้างพันธะใหม่กับออกซิเจนเกิดเป็น    \displaystyle CO_2  ถ้าพลังงานที่ใช้ในการเผาไหม้มีไม่เพียงพอที่จะสลายพันธะคู่หรือพันธะสามได้อย่างสมบูรณ์ จะทำให้มีคาร์บอนที่ยังไม่เกิดปฏิกิริยาเหลืออยู่ในรูปของเขม่าได้ จากการทดลองซึ่งพบว่าการเผาไหม้เฮกเซนไม่มีเขม่าเกิดขึ้น ส่วนเฮกซีนและเบนซีนมีเขม่าเกิดขึ้น แสดงว่าสารประกอบไฮโดรคาร์บอนทั้ง 3 ชนิด น่าจะแตกต่างกัน เมื่อพิจารณาโครงสร้างโมเลกุลของเฮกเซนพบว่ามีแต่พันธะเดี่ยว ส่วนเฮกซีนและเบนซีนน่าจะมีพันธะคู่หรือพันธะสามอยู่ในโมเลกุล ดังรูป 11.2



                                                                                    


รูป 11.2 สูตรโครงสร้างของเฮกเซนเฮกซีนและเบนซีน

                สำหรับการเกิดปฏิกิริยากับสารละลายโบรมีนและสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต สามารถสังเกตได้จากการเปลี่ยนสีของสารละลายแต่ละชนิด จากการทดลองพบว่าเฮกเซนฟอกจางสีโบรมีนได้เฉพาะในที่มีแสงสว่างและเกิดแก๊สทีมีสมบัติเป็นกรด แต่ไม่ฟอกจางสีสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต ส่วนเฮกซีนสามารถฟอกจางสีโบรมีนได้ทั้งในที่มืดและที่สว่างโดยไม่เกิดแก๊สที่มีสมบัติเป็นกรด และยังฟอกจางสีสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตได้อีกด้วย ส่วนเบนซีนไม่ฟอกจางสีโบรมีน และโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนต แสดงว่าเฮกซีนว่องไวในการเกิดปฏิกิริยากับสารละลายโบรมีนและสารละลายโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตมากกว่าเฮกเซน และเฮกเซนว่องไวในการเกิดปฏิกิริยามากกว่าเบนซีน
                       -    สมบัติต่างๆ ของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ได้ศึกษามาแล้ว ใช้เป็นเกณฑ์ในการจำแนกประเภท  สารประกอบไฮโดรคาร์บอนได้หรือไม่ อย่างไร

 11.3.2 ประเภทของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
จากการทดลอง 11.3 พบว่าการละลายในน้ำ การเผาไหม้ การทำปฏิกิริยากับโบรมีนและโพแทสเซียมเปอร์แมงกาเนตของเฮกเซน เฮกซีนและเบนซีน ซึ่งเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีจำนวนอะตอมของคาร์บอนเท่ากัน แต่มีสมบัติบางประการดังที่กล่าวมาแล้วแตกต่างกัน เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น นักเรียนจะได้ศึกษาปัจจัยที่ทำให้สารทั้งสามมีสมบัติต่างกันออกไป

11.3.2.1 แอลเคน
จากการทดสอบสมบัติของเฮกเซน พบว่าเฮกเซนทำปฏิกิริยากับโบรมีนได้เฉพาะในที่มีแสงสว่าง ได้แก๊สที่เปลี่ยนสี
กระดาษลิตมัสชื้นจากน้ำเงินเป็นแดง ปฏิกิริยานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
เฮกเซนเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน มีสูตรโมเลกุลเป็น \displaystyle C_6H_{14} โดยคาร์บอนทุกอะตอมสร้างพันธะเดี่ยวทั้งหมดกับอะตอมของคาร์บอนและไฮโดรเจน สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่อะตอมของคาร์บอนในโมเลกุลสร้างพันธะเดี่ยวทั้งหมดจัดเป็น สารประกอบไฮโดรคาร์บอนประเภทอิ่มตัว   และเรียกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวนี้ว่า  แอลเคน 
    เมื่อเฮกเซนทำปฏิกิริยากับโบรมีนในที่มีแสงสว่างน้อย อะตอมของโบรมีนจะเข้าแทนที่อะตอมของไฮโดรเจนในโมเลกุลของเฮกเซน เกิดเป็นโบรโมเฮกเซนกับแก๊สไฮโดรเจนโบรไมด์ เขียนสมการแสดงได้ดังนี้

                       

โบรโมเฮกเซนที่เกิดขึ้นมีไอโซเมอร์อื่นๆ ด้วย ซึ่งเกิดจากอะตอมของโบรมีนเข้าแทนที่อะตอมของไฮโดรเจนที่ต่อกับคาร์บอนตำแหน่งอื่นๆ แต่มีปริมาณที่แตกต่างกัน เช่น

          

สำหรับแก๊สไฮโดรเจนโบรไมด์ที่เกิดขึ้นสามารถละลายในน้ำได้และเกิดเป็นกรดไฮโดรโบรมิก จึงเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัสชื้นจากสีน้ำเงินเป็นสีแดง ปฏิกิริยาที่อะตอมของไฮโดรเจนในสารประกอบไฮโดรคาร์บอนถูกแทนที่ด้วยอะตอมของธาตุอื่นเรียกว่า  ปฏิกิริยาการแทนที่   ธาตุแฮโลเจนอื่นๆ เช่น คลอรีนหรือไอโอดีนก็เกิดปฏิกิริยาแทนที่กับสารประกอบไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวในที่มีแสงสว่างได้เช่นเดียวกัน แต่อัตราการเกิดปฏิกิริยาอาจแตกต่างกันตัวอย่างปฏิกิริยาการแทนที่เป็นดังนี้
                 

คลอโรโพรเพนดังสมการข้างต้นจะมีไอโซเมอร์ อื่นอีกหรือไม่ ถ้ามีจะมีโครงสร้างเป็นอย่างไร

                ปฏิกิริยาที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนประเภทแอลเคนก็คือ <b>ปฏิกิริยาการเผาไหม้</b> จากการทดลองพบว่า การเผาไหม้แอลเคนอย่างสมบูรณ์จะเกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็นผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งคายพลังงานความร้อนออกมา จึงมีการนำแอลเคนโมเลกุลเล็กๆ ไปใช้เป็นเชื้อเพลิงและนำพลังงานความร้อนที่ได้ไปใช้โดยตรงหรือเปลี่ยนเป็นพลังงานกลและพลังงานไฟฟ้า เพื่อไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ แต่ถ้าแอลเคนเกิดการเผาไหม้แบบไม่สมบูรณ์ จะมีเขม่าและแก๊สคาร์บอนมอนออกไซด์เกิดขึ้นรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าได้พลังงานความร้อนน้อยกว่าปฏิกิริยาการเผาไหม้แบบสมบูรณ์
                นอกจากแอลเคนจะเกิดปฏิกิริยาการแทนที่และปฏิกิริยาการเผาไหม้แล้ว นักเรียนจะได้ศึกษาสมบัติอื่นๆ ของแอลเคนจากข้อมูลในตาราง 11.7
ตาราง 11.7 จุดหลอมเหลวและจุดเดือดของแอลเคนโซ่ตรงบางชนิด
จำนวนอะตอมของคาร์บอน
 แอลเคน 
จุดหลอมเหลว(\displaystyle ^0C)
จุดเดือด \displaystyle ^0C

 ชื่อ
 สูตรโมเลกุล
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
มีเทน
อีเทน
โพรเพน
บิวเทน
เพกเทน
เฮกเซน
เฮปเทน
ออกเทน
เดกเคน
โดเดกเคน
เตตระเดกเคน
เฮกซะเดกเคน
ออกตะเดกเคน
ไอโคเซน
\displaystyle CH_4
\displaystyle C_2H_6


                       \displaystyle C_3H_8


                   \displaystyle C_4H_{10}

                \displaystyle C_5H_{12}


                  \displaystyle C_6H_{14}

               \displaystyle C_7H_{16}

  
                      \displaystyle C_8H_{18}
  
\displaystyle C_{10}H_{22}

\displaystyle C_{14}H_{30}


\displaystyle C_{16}H_{34}

\displaystyle C_{18}H_{38}
\displaystyle C_{20}H_{42}


-182.5
-182.8
-187.7
-138.3
-129.7
-95.3
-90.6
-56.8
-29.7
-9.6
5.8
18.2
28.2
36.4
-161.5
-88.6
-42.1
-0.5
36.1
68.7
98.4
125.7
174.1
216.3
253.5
286.8
316.3
343.0

 
ที่มา : AylwardG.H. and FindlayT.Y.V. SI chemical data. 5th ed : John Wiley & Sons Australia Ltd., 2002.

จุดหลอมเหลวและจุดเดือดของแอลเคนมีความสัมพันธ์กับจำนวนอะตอมของคาร์บอนหรือไม่  อย่างไร
ที่อุณหภูมิ 25 \displaystyle ^0C แอลเคนโซ่ตรงใน  ตาราง 11.7 จะมีสถานะอย่างไร
จำนวนอะตอมของคาร์บอนกับไฮโดรเจนมีความ สัมพันธ์กันหรือไม่ อย่างไร

                จากข้อมูลในตาราง 11.7 เมื่อพิจารณาจุดหลอมเหลวและจุดเดือดของแอลเคน พบว่ามีค่าสูงขึ้นตามจำนวนอะตอมของคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น การที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของแอลเคนเป็นแรงลอนดอน ซึ่งจะมีค่าเพิ่มขึ้นตามมวลโมเลกุล เมื่อจำนวนอะตอมของคาร์บอนเพิ่มขึ้น มวลโมเลกุลจึงมีค่าเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลเพิ่มขึ้น จุดหลอมเหลวและจุดเดือดจึงสูงขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส  แอลเคนโซ่ตรงอาจมีสถานะเป็นแก๊ส ของเหลวหรือของแข็งซึ่งพิจารณาได้จากจุดหลอมเหลวและจุดเดือดของสารนั้น เช่น แอลเคนโซ่ตรงที่มีคาร์บอน 1 - 4 อะตอม ซึ่งมีจุดหลอมเหลวต่ำกว่าอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส     แต่มีจุดเดือดสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส                จึงมีสถานะเป็นของเหลว ส่วนแอลเคนโซ่ตรงที่มีจำนวนคาร์บอน 18 และ 20 อะตอม มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส  จึงมีสถานะเป็นของแข็ง

       ใช้ข้อมูลในตาราง 11.7 เขียนกราฟแสดงความ สัมพันธ์ระหว่างจุดเดือดกับจำนวนอะตอมของ คาร์บอนในแอลเคน และทำนายว่าแอลเคนโซ่ตรงที่มีคาร์บอนจำนวน 9 อะตอม จะมีจุดเดือด  ประมาณเท่าใด
จากสูตรโมเลกุลของแอลเคนในตาราง 11.7 ทำให้ทราบว่าจำนวนอะตอมของคาร์บอนกับไฮโดรเจนมีความสัมพันธ์กัน โดยจำนวนอะตอมของไฮโดรเจนจะเป็น 2 เท่าของจำนวนอะตอมของคาร์บอนบวกด้วย 2 เสมอ ถ้าให้ n เป็นจำนวนอะตอมของคาร์บอนในโมเลกุลของแอลเคน จำนวนอะตอมของไฮโดรเจนจะเท่ากับ    2n + 2     สูตรทั่วไปของแอลเคนจึงเขียนได้เป็น \displaystyle C_nH_{2n+2}
    การเรียกชื่อแอลเคนในระบบ IUPAC จะเรียกตามจำนวนอะตอมของคาร์บอน โดยใช้จำนวนนับในภาษากรีกระบุจำนวนอะตอมของคาร์บอนและลงท้ายด้วยเสียง เ - น (-ane) จำนวนนับในภาษากรีกเป็นดังนี้
        1. = มีทหรือเมท (meth-)    
        2. = อีทหรือเอท (eth-)    
        3. = โพรพ (prop-)        
        4. = บิวท (but-)        
        5. = เพนท (pent-)    
6 = เฮกซ (hex-)
7 = เฮปท (hept-)
8 = ออกท (oct-)
9 = โนน (non-)
10 = เดกค (dec-)

    แอลเคนที่มีสูตรโมเลกุล \displaystyle CH_4  มีคาร์บอน 1 อะตอม เรียกว่า มีเทน     มีคาร์บอน 2 อะตอมเรียกว่า อีเทน ส่วน    \displaystyle C_3H_8  มีคาร์บอน 3 อะตอมเรียกว่า โพรเพน ชื่อของแอลเคนมีจำนวนคาร์บอนมากกว่า 3 อะตอม ศึกษาได้จากตาราง 11.7
                           
    ชื่อสารประกอบอินทรีย์ในยุคแรกๆ จะเป็นชื่อสามัญ ซึ่งตั้งตามแหล่งกำเนิดของสารประกอบหรือตามชื่อของผู้ค้นพบ เมื่อมีสารประกอบอินทรีย์มากขี้นเรื่อยๆ การเรียกชื่อสามัญอาจทำให้เกิดความสับสน นักเคมีจึงได้จัดระบบการเรียกชื่อสารประกอบอินทรีย์ขึ้น เพื่อให้มีความเข้าใจตรงกัน ในปี พ.ศ.2237 (ค.ศ.1892) ซึ่งเรียกระบบนี้ว่า International Union of Pure and Applied Cheministry หรือ IUPAC (อ่านว่าไอยูแพค)


- แอลเคนโซ่ตรงที่มีคาร์บอน 9 อะตอม มีชื่อและ  สูตรโมเลกุลเป็นอย่างไร

    สำหรับแอลเคนที่มีโครงสร้างแบบโซ่กิ่ง หมู่อะตอมที่แยกออกมาจากสายโซ่ของคาร์บอนจะเป็นโมเลกุลของแอลเคนที่สูญเสียไฮโดรเจน 1 อะตอม มีสูตรทั่วไปเป็น \displaystyle C_nH_{2n+1}  หมู่อะตอมนี้เรียกว่า หมู่แอลคิล    สูตรและชื่อของหมู่แอลคิลบางหมู่เมื่อเปรียบเทียบกับแอลเคนที่มีจำนวนอะตอมของคาร์บอนเท่ากันแสดงในตาราง 11.8
 


 ตาราง 11.8 สูตรและชื่อของหมู่แอลคิลเปรียบเทียบกับแอลเคนที่เป็นโซ่ตรง

 จำนวนอะตอมของคาร์บอน
 ชื่อของแอลเคน
 สูตรโครงสร้างของแอลเคน
 สูตรโครงสร้างของหมู่แอลคิล
 ชื่อของหมู่แอลคิล
1
มีเทน
(methane)
\displaystyle CH_4
\displaystyle -CH_3
เมทิล
(methyl)
2
อีเทน
(ethane)
\displaystyle CH_3CH_3
\displaystyle -CH_2CH_3
เอทิล
(ethyl)
3
โพรเพน
(propane)
\displaystyle CH_3CH_2CH_3
\displaystyle -CH_2CH_2CH_3
โพรพิล
(propyl)
4
บิวเทน
(butane)
\displaystyle CH_3CH_2CH_2CH_3
\displaystyle -CH_2CH_2CH_2CH_3
บิวทิล
(butyl)
5
เพนเทน
(pentane)
\displaystyle CH_3CH_2CH_2CH_2CH_3
\displaystyle -CH_2CH_2CH_2CH_2CH_3
เพนทิล
(pentyl)



จากตาราง 11.8 พบว่าการเรียกชื่อหมู่แอลคิลใช้หลักการเดียวกันกับการเรียกชื่อแอลเคน แต่เปลี่ยนท้ายเสียงจาก เ - น (-ane) เป็น - ลิ (-yl) การเขียนแสดงหมู่แอลคิลที่ไม่ต้องระบุจำนวนอะตอมของคาร์บอนทำได้โดยใช้สัญลักษณ์ <b>R</b>  การเรียกชื่อแอลเคนที่เป็นโซ่กิ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1.               เลือกสายโซ่ของคาร์บอนที่ต่อกันยาวที่สุดเป็นโซ่หลัก ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเส้นตรงแนวเดียวกันตลอดแล้ว      
ใช้หลักการเรียกชื่อเหมือนกันแอลเคนแบบโซ่ตรงเช่น

                

ถ้าสามารถเลือกโซ่หลักที่มีอะตอมของคาร์บอนต่อกันยาวที่สุดได้หลายแบบ ให้เลือกแบบที่มีจำนวนหมู่แอลคิล
มากกว่าเป็นโซ่หลัก เช่น



1.               กำหนดตัวเลขแสดงตำแหน่งของคาร์บอนในโซ่หลัก โดยเริ่มจากปลายด้านใดก็ได้ที่ทำให้หมู่แอลคิลอยู่ใน
ตำแหน่งที่มีตัวเลขน้อยๆ เช่น
              

1.               เรียกชื่อหมู่แอลคิลนำหน้าชื่อของแอลเคน โดยระบุตัวเลขแสดงตำแหน่งของคาร์บอนที่หมู่แอลคิลต่ออยู่ถ้าหมู่
แอลคิลที่ต่ออยู่กับโซ่หลักเป็นหมู่เดียวกัน ให้ใช้คำนำหน้าแสดงจำนวนหมู่แอลคิลเป็นภาษากรีก เช่น ได (di) ไตร (tri) เตตระ (tetra) แทนจำนวนหมู่แอลคิล 2 3 4 หมู่ ตามลำดับ โดยเขียนไว้ระหว่างชื่อของหมู่แอลคิลกับตัวเลขแสดงตำแหน่ง เช่น
                                                                           
1.               ถ้าหมู่แอลคิลที่ต่ออยู่กับโซ่หลักแตกต่างกัน ให้เรียกชื่อเรียงลำดับหมู่แอลคิลตามลำดับอักษรภาษาอังกฤษและ
ระบุตัวเลขแสดงตำแหน่งไว้หน้าชื่อหมู่แอลคิล เช่น
          



นอกจากแอลเคนที่มีโครงสร้างเป็นแบบโซ่เปิดแล้ว ยังมีแอลเคนที่มีโครงสร้างเป็นแบบวง โดยประกอบด้วยคาร์บอนตั้งแต่ 3 อะตอมขึ้นไปสร้างพันธะเดี่ยวต่อกันเป็นรูปเหลี่ยมต่างๆ เช่น สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ห้าเหลี่ยม หกเหลี่ยม ซึ่งเรียกว่า   <b>ไซโคลแอลเคน</b>  การเรียกชื่อไซโคลแอลเคน ทำได้เช่นเดียวกับการเรียกชื่อของแอลเคน แต่นำหน้าด้วยคำว่า ไซโคล ตัวอย่างเช่น
               

 - แอลเคนโซ่เปิดกับโซ่ปิดที่มีจำนวนอะตอมของ คาร์บอนเท่ากัน มีจำนวนอะตอมของไฮโดรเจน     แตกต่างกันอย่างไร

    จากตัวอย่างพบว่าโมเลกุลของไซโคลแอลเคนมีจำนวนอะตอมของไฮโดรเจนน้อยกว่าแอลเคนที่มีจำนวนคาร์บอนเท่ากันอยู่ 2 อะตอมต่อ 1 วงหรือกล่าวได้ว่าจำนวนอะตอมของไฮโดรเจนเป็น 2 เท่าของอะตอมคาร์บอน สูตรทั่วไปของไซโคลแอลเคนจึงเป็น \displaystyle C_nH_{2n}    และพบว่าไซโคลแอนเคนเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดอิ่มตัวเช่นเดียวกับ       แอลเคน สมบัติของไซโคลแอลเคนจะมีแนวโน้มคล้ายคลึงกับแอลเคนหรือไม่ ศึกษาได้จากข้อมูลในตาราง 11.9

  

จำนวนอะตอม
ของคาร์บอน
ไซโคลแอลเคน
จุดหลอมเหลว
\displaystyle ^0C

จุดเดือด
\displaystyle ^0C
ชื่อ
สูตรโครงสร้าง
3
ไซโคลโพรเพน
-127.4
-32.8
4
ไซโคลบิวเทน
-90.6
12.6
5
ไซโคลเพนเทน
-93.8
49.3
6
ไซโคลเฮกเซน
6.6
80.7





เมื่อพิจารณาข้อมูลในตาราง 11.9 พบว่าแนวโน้มของจุดหลอมเหลวและจุดเดือดของไซโคลแอนเคนมีค่าสูงขึ้นตามจำนวนอะตอมของคาร์บอนเช่นเดียวกับแอลเคนโซ่ตรง ซึ่งอธิบายได้ในทำนองเดียวกัน นอกจากนี้ยังพบว่าการเกิดปฏิกิริยาของไซโคลแอนเคนก็คล้ายกับแอลเคนด้วย
                แอลเคนหลายชนิดนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น มีเทน ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าและโรงงานต่างๆ และใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเคมีภัณฑ์ต่างๆ เช่น เมทานอล อีเทนและโพรเพนใช้ในการผลิตเอทิลีนและโพรพิลีนเพื่อเป็นสารตั้งต้นในกระบวนการผลิตเม็ดพลาสติก แก๊สผสมระหว่างโพรเพนกับบิวเทนใช้เป็นแก๊สหุงต้มตามบ้านเรือน แก๊สหุงต้มเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมและการแยกแก๊สธรรมชาติ เมื่อนำไปบรรจุในถังเหล็กภายใต้ความดันสูง แก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวจึงเรียกว่าแก๊สปิโตรเลียมเหลว (Liqufied Petroleum Gas หรือ LPG) เฮกเซนใช้เป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมการสกัดน้ำมันพืช น้ำหอม ไซโคลเฮกเซนใช้เป็นตัวทำละลายในการทำเรซินและแล็กเกอร์ ใช้ล้างสี ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารประกอบอินทรีย์ เช่น เบนซีน
                แอลเคนที่มีมวลโมเลกุลสูงๆ เช่น พาราฟิน ใช้เคลือบผักและผลไม้เพื่อรักษาความชุ่มชื้นและป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อรา นอกจากนี้ยังใช้แอลเคนเป็นสารตั้งต้นในอุตสาหกรรมหลายชนิด เช่น อุตสาหกรรมผลิตผงซักฟอก เส้นใย สารเคมีทางการเกษตร และสารกำจัดศัตรูพืช
                นอกจากแอลเคนจะมีประโยชน์ดังที่กล่าวมาแล้ว แอลเคนอาจก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้ เนื่องจากแอลเคนเป็นโมเลกุลไม่มีขั้ว จึงละลายสารประกอบอินทรีย์ที่ไม่มีขั้ว เช่น ไขมันและน้ำมันได้ดี การสูดดมไอของแอลเคนเข้าไปจะทำให้เกิดอันตรายกับระบบทางเดินหายใจ โดยแอลเคนจะไปละลายไขมันในผนังเซลล์ชองปอด หรือถ้าผิวหนังสัมผัสกับตัวทำละลาย เช่น           เฮกเซน จะทำให้ผิวหนังแห้งแตกเพราะว่าน้ำมันที่ผิวหนังถูกชะล้างออกไป

พันธะของคาร์บอน

คาร์บอนเป็นธาตุในหมู่ 4A หรือหมู่ 14 มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเท่ากับ 4 จึงสามารใช้อิเล็กตรอนร่วมกับอะตอมอื่นๆ อีก 4 อิเล็กตรอน เกิดเป็นพันธะโคเวเลนต์ได้ 4 พันธะ และมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบ 8 ตามกฎออกเตต  เช่น คาร์บอน 1 อะตอมใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกับไฮโดรเจน 4 อะตอมเกิดเป็นมีเทน \displaystyle (CH_4)  เขียนโครงสร้างลิวอิสแสดงได้ดังนี้


                                                         
         
การเกิดพันธะโคเวเลนต์ระหว่างธาตุคาร์บอนกับธาตุอื่นๆ ในสารประกอบอินทรีย์บางชนิด แสดงดังตาราง 11.1

ตาราง 11.1  ตัวอย่างสารประกอบอินทรีย์บางชนิด สูตรโมเลกุลและโครงสร้างลิวอิน

                       


ชื่อในวงเล็บ คือ ชื่อสามัญ 

พันธะระว่างธาตุคาร์บอนกับธาตุคาร์บอน  มีกี่ประเภท อะไรบ้าง
ธาตุคาร์บอนสร้างพันธะกับธาตุอื่นๆ นอกจาก    ธาตุคาร์บอนหรือไม่ อย่างไร

                สารประกอบอินทรีย์ส่วนใหญ่เป็นสารโคเวเลนต์ที่มีธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก โดยที่ธาตุคาร์บอนสามารถสร้างพันธะกับธาตุคาร์บอนด้วยพันธะเดี่ยวพันธะคู่หรือพันธะสามและสร้างพันธะต่อกันไปได้เรื่อยๆ นอกจากนี้ธาตุคาร์บอนยังสามารถสร้างพันธะโคเวเลนต์กับธาตุอื่นๆ เช่น ไนโตรเจน ออกซิเจน กำมะถัน และแฮโลเจนได้อีกด้วย จากเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้มีสารประกอบอินทรีย์เป็นจำนวนมาก

11.1.1 การเขียนสูตรโครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์
                สูตรโครงสร้างของสารเป็นสูตรที่แสดงการจัดเรียงอะตอมของธาตุองค์ประกอบที่มีอยู่ใน 1 โมเลกุลของสารนั้นสำหรับสารประกอบอินทรีย์ที่โมเลกุลมีขนาดใหญ่ การเขียนโครงสร้างลิวอิสแสดงโครงสร้างโมเลกุลของสารเหล่านั้นทำได้ไม่สะดวก จึงอาจเขียนแสดงด้วย>สูตรโครงสร้างแบบย่อโดยแสดงเฉพาะพันธะคู่หรือพันธะสามระหว่างอะตอมของคาร์บอน ส่วนอะตอมของธาตุอื่นที่สร้างพันธะกับอะตอมของคาร์บอน ให้เขียนไว้ข้างคาร์บอนและไม่ต้องแสดงพันธะแล้วเขียนตัวเลขแสดงจำนวนอะตอมกำกับไว้ ถ้ามีกลุ่มอะตอมเหมือนกันมากกว่าหนึ่งหมู่ ให้เขียนไว้ในวงเล็บและระบุจำนวนกลุ่มอะตอมไว้ ดังตัวอย่างในตาราง 11.2

   โครงสร้างแบบย่อ มีข้อดีกว่าการเขียนด้วยโครงสร้างแบบลิวอิส กล่าวคือใช้เนื้อที่น้อย เขียนได้สะดวกและรวดเร็ว แต่อาจพิจารณาโครงสร้างของโมเลกุลได้ยากและทำให้เกิดความสับสนได้

ตาราง 11.2 สูตรโมเลกุลและโครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์บางชนิด

                         

                       
ชื่อในวงเล็บ คือ ชื่อสามัญ

                นอกจากนี้อาจเขียนสูตรโครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์เป็นแบบเส้นและมุม โดยใช้เส้นตรงแทนพันธะระหว่างคาร์บอน ถ้ามีจำนวนคาร์บอนต่อกันมากกว่า 2 อะตอมให้ใช้เส้นต่อกันแบบซิกแซกแทนสายโซ่ของคาร์บอนที่ปลายเส้นตรงและแต่ละมุมของสายโซ่ แทนอะตอมของคาร์บอนต่ออยู่กับไฮโดรเจนในจำนวนที่ทำให้คาร์บอนมีเวเลนซ์อิเล็กตรอนครบ 8 ถ้าในโมเลกุลมีหมู่อะตอมแยกออกมาจากสายโซ่ของคาร์บอน ให้ลากเส้นต่อออกมาจากสายโซ่และให้จุดตัดของเส้นแทนอะตอมของคาร์บอน ตัวอย่างเช่น
                              

                  
         ส่วนโมเลกุลที่มีโครงสร้างแบบวง ให้เขียนแสดงพันธะตามรูปเหลี่ยมนั้น เช่น

                                      


                  
ตัวอย่างสูตรโครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์บางชนิดที่เขียนแสดงด้วยเส้นและมุม แสดงในตาราง 11.3

   การเขียนสูตรโครงสร้างของสารโดยใช้เส้นและมุม นิยมใช้กับสารอินทรีย์ที่มีโครงสร้างแบบวงหรือมีโมเลกุลขนาดใหญ่ เนื่องจากเขียนได้สะดวกและรวดเร็วกว่าสูตรโครงสร้างแบบอื่นๆ

ตาราง 11.3 การเขียนสูตรโครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์แบบ

                                       
การเขียนสูตรโครงสร้างแบบต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วเป็นการแสดงการจัดเรียงตัวของอะตอมที่ประกอบกันเป็นโมเลกุลในลักษณะ 2 มิติ แต่ความเป็นจริงอะตอมของธาตุในโมเลกุลมีการจัดเรียงตัวในลักษณะ 3 มิติ ดังตัวอย่างในตาราง 11.4

ตาราง 11.4 ตัวอย่างโครงสร้างลิวอิสและแบบจำลองโมเลกุล 3 มิติของสารประกอบอินทรีย์บางชนิด


                        ตาราง 11.4 ตัวอย่างโครงสร้างลิวอิสและแบบจำลองโมเลกุล 3 มิติของสารประกอบอินทรีย์บางชนิด (ต่อ)

        

                      


การจัดเรียงตัวของอะตอมต่างๆ ในโมเลกุลอยู่ในระนาบเดียวกันหรือไม่อย่างไร
มุมพันธะรอบอะตอมของคาร์บอนเหมือนหรือ แตกต่างกันอย่างไร

การเขียนสูตรโครงสร้างโดยใช้เส้นและมุม จะเขียนตามลักษณะการจัดเรียงตัวของอะตอมในโครงสร้าง 3 มิติ เช่น


         เมื่อพิจารณาแบบจำลองโมเลกุล 3 มิติในตาราง 11.4 จะพบว่าการจัดเรียงตัวของธาตุส่วนใหญ่ไม่อยู่ในระนาบเดียวกัน เนื่องจากถูกกำหนดโดยทิศทางของพันธะรอบอะตอมของคาร์บอน ซึ่งต้องจัดเรียงตัวให้อยู่ห่างกันมากที่สุด โดยโมเลกุลที่มีพันธะเดี่ยวทั้งหมด เช่น \displaystyle CH_4 จะมีมุมระหว่างพันธะประมาณ  109.5 องศา และมีรูปร่างโมเลกุลแบบทรงสี่หน้า ส่วนโมเลกุลที่มีพันธะคู่ 1 พันธะ เช่น \displaystyle C_2 H_4    จะมีมุมระหว่างพันธะประมาณ  120 องศา    และมีรูปร่างโมเลกุลเป็นสามเหลี่ยมแบนราบ สำหรับโมเลกุลที่มีพันธะสาม เช่น \displaystyle C_2H_2     จะมีมุมระหว่างพันธะเท่ากับ 180 องศา  และมีรูปร่างโมเลกุลเป็นเส้นตรง มุมระหว่างพันธะของโมเลกุล  \displaystyle CH_4,C_2 H_4   และ    \displaystyle C_2 H_2    แสดงดังรูป 11.1

                         

            รูป 11.1 มุมระหว่างพันธะของโมเลกุล \displaystyle CH_4   \displaystyle C_2H_4  และ    \displaystyle C_2 H_2 

- สารประกอบอินทรีย์ที่มีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน จะมีสูตรโครงสร้างแตกต่างกันได้หรือไม่

11.1.2 ไอโซเมอริซึม
    จากโครงสร้างลิวอิลและแบบจำลองโมเลกุลในตาราง 11.4 พบว่าสารประกอบอินทรีย์บางชนิดมีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่มีสูตรโครงสร้างได้มากกว่า 1 แบบ เช่น สารที่มีสูตรโมเลกุล  \displaystyle C_4 H_{10}    จัดเรียงตัวแตกต่างกันได้ 2 แบบ สารทั้ง 2 แบบนี้มีสมบัติเหมือนกันหรือไม่ ให้พิจารณาข้อมูลในตาราง 11.5

ตาราง 11.5 สมบัติบางประการของสารประกอบอินทรีย์ที่มีสูตรโมเลกุล \displaystyle C_4 H_{10} 

โครงสร้างของสารประกอบ
จุดหลอมเหลว (\displaystyle   ^0C)
จุดเดือด (\displaystyle ^0C)
ความหนาแน่นที่ 20  \displaystyle ^0C \displaystyle (g/cm^3)
\displaystyle CH_3-\displaystyle CH_2-\displaystyle CH_2-\displaystyle CH_3
-138.3
-0.5
0.573
-159.4
-11.7
0.551

                  เมื่อพิจารณาโครงสร้างของ  \displaystyle C_4H_{10} พบว่าแบบแรกมีอะตอมของคาร์บอนต่อกันเป็นสายยาว โครงสร้างแบบนี้เรียกว่า โซ่ตรงส่วนแบบที่ 2 มีหมู่ \displaystyle -CH_3    ต่อกับอะตอมของคาร์บอนทีเป็นสายยาว โครงสร้างแบบนี้เรียกว่าโซ่กิ่งสารที่มีโครงสร้างเป็นแบบโซ่ตรงหรือโซ่กิ่งรวมเรียกว่า โซ่เปิด สำหรับสมบัติของสารทั้งสอง พบว่าโครงสร้างแบบโซ่ตรงมีจุดหลอมเหลว จุดเดือด และความหนาแน่นสูงกว่าแบบโซ่กิ่ง แสดงว่าสมบัติของสารประกอบอินทรีย์ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของโมเลกุลด้วย
    ปรากฏการณ์ที่สารประกอบอินทรีย์มีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่มีสมบัติแตกต่างกันเรียกว่าไอโซเมอร์ริซึมและเรียกสารแต่ละชนิดว่าไอโซเมอร์ สำหรับไอโซเมอร์ที่มีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่จัดเรียงตัวของอะตอมในตำแหน่งที่ต่างกันหรือมีสูตรโครงสร้างต่างกันจะเรียกว่า ไอโซเมอร์โครงสร้าง
    สารประกอบที่มีสูตรโมเลกุลเป็น \displaystyle C_5H_{12}    มีกี่ไอโซเมอร์ และแต่ละไอโซเมอร์มีสูตรโครงสร้างเป็นอย่างไร ให้ศึกษาจากการทดลองต่อไปนี้
>การทดลอง 11.1  การจัดเรียงอะตอมของคาร์บอนในสารประกอบอินทรีย์
1.                   ใช้แบบจำลองอะตอมที่เป็นลูกพลาสติกกลม โดยให้สีดำแทนอะตอมของคาร์บอน สีขาวแทนอะตอมของไฮโดรเจน และใช้ก้านไม้หรือก้านพลาสติกแทนพันธะ
2.                   นำลูกกลมสีดำจำนวน 5 ลูกมาต่อกันด้วยก้านพลาสติกให้เป็นสายยาว แล้วต่อลูกกลมสีขาวเข้ากับอะตอมของคาร์บอนให้ครบทุกพันธะบันทึกผลโดยเขียนเป็นโครงสร้างลิวอิส
3.                   เปลี่ยนโครงสร้างโมเลกุลจากข้อ 2  ให้เป็นแบบโซ่กิ่ง โดยใช้ลูกกลมและก้านพลาสติกเท่าเดิม บันทึกผลโดยเขียนโครงสร้างลิวอิส

เมื่อต่อคาร์บอน 5 อะตอมด้วยพันธะเดี่ยวทั้งหมดจะได้กี่ไอโซเมอร์ แต่ละไอโซเมอร์มีโครงสร้าง  อย่างไร
ถ้าต่อแบบจำลองโดยใช้คาร์บอน 5 อะตอม แต่ เปลี่ยนพันธะเดี่ยวเป็นพันธะคู่ 1 พันธะ จะได้กี่  ไอโซเมอร์ แต่ละไอโซเมอร์มีโครงสร้างอย่างไร
จากการทดลองต่อแบบจำลองโมเลกุลของ\displaystyle C_5H_{12}พบว่าได้ไอโซเมอร์ที่เป็นโซ่เปิด 3 ไอโซเมอร์คือ แบบโซ่ตรง 1 ไอโซเมอร์และแบบโซ่กิ่ง 2 ไอโซเมอร์ ส่วนแบบจำลองโมเลกุลที่มีคาร์บอน 5 อะตอมและมีพันธะคู่ระหว่างอะตอมของคาร์บอน 1 พันธะ จะมีสูตรโมเลกุลเป็น \displaystyle C_5 H_{10}    เกิดไอโซเมอร์ที่เป็นแบบโซ่เปิดได้ 5 ไอโซเมอร์คือ แบบโซ่ตรง 2 ไอโซเมอร์และแบบโซ่กิ่ง 3 ไอโซเมอร์
    นอกจากนี้ยังพบว่าสารประกอบอินทรีย์ที่มีสูตรโมเลกุลเป็น \displaystyle C_5 H_{10} มีสูตรโครงสร้างต่างจากไอโซเมอร์โซ่เปิดได้อีก โดยที่ธาตุคาร์บอนในโมเลกุลสร้างพันธะต่อกันเป็นวง โครงสร้างแบบนี้เรียกว่า แบบวง ดังตัวอย่าง

                             

                 การเปลี่ยนโครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์ที่มีสูตรโมเลกุลเหมือนกันจากโซ่ตรงเป็นโซ่กิ่ง จากโซ่เปิดเป็นแบบวง และการเปลี่ยนตำแหน่งของพันธะคู่หรือพันธะสาม ระหว่างอะตอมของคาร์บอน ทำให้เกิดโครงสร้างใหม่ซึ่งต่างก็เป็นไอโซเมอร์กัน ดังนั้นการเกิดไอโซเมอร์จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีสารประกอบอินทรีย์เป็นจำนวนมาก

1 ความคิดเห็น: